ปราสาทนครหลวง
ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองอยุธยาอีกแห่งซึ่งผสมผสานศิลปะไทยและขอมได้อย่างน่าทึ่ง
เดิมเป็นตำหนักที่ประทับของกษัตริย์ในระหว่างเสด็จไปลพบุรีและไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแต่สร้างแบบก่ออิฐถือปูนในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเมื่อ
พ.ศ. 2147 โดยโปรดเกล้าฯ ให้ช่างถ่ายแบบมาจากปราสาทศิลา 'เมืองพระนครหลวง'
หรือศรียโสธรปุระหรือนครวัดในกรุงกัมพูชา
เพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ได้กรุงกัมพูชากลับมาเป็นประเทศราชอีกหากการก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์
ต่อมาใน พ.ศ. 2352 ตาปะขาวปิ่นได้มาสร้างวัดนครหลวงขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
อีกทั้งยังสร้างพระพุทธบาทสี่รอยประดิษฐานในมณฑปบนชั้นสูงสุดเป็นพระพุทธบาทซ้อนกันสี่รอยบุ๋มลึกลงไปในเนื้อหินรอยใหญ่ที่สุดกว้างประมาณ
2.50 เมตร ยาว 5.50 เมตร มีจารึกที่หน้าบันว่าปฏิสังขรณ์เมื่อ ร.ศ. 122 (
พ.ศ. 2446 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5)
เดินชมฝีมือช่างไทยโบราณที่อุตสาหะก่อสร้างปราสาทก่อด้วยอิฐทั้งหลัง
ตั้งอยู่บนเนินเขามนุษย์สร้างโดยการถมดินให้สูงที่น่าอัศจรรย์คือมีปรางค์ถึง
30 องค์ รูปทรงคล้ายปรางค์ขอมย่อมุมไม้ยี่สิบพร้อมระเบียงคดในศิลปะขอม
ที่เชื่อมต่อปรางค์แต่ละองค์ซึ่งช่างทำลูกมะหวด ลักษณะเหมือนซี่ลูกกรงตัน
และตำหนักนครหลวงหรือศาลพระจันทร์ลอย
เป็นอาคารจัตุรมุขซึ่งบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีพระปลัด (ปลื้ม)
หรือพระครูวิหาร-กิจจานุการนำแผ่นหินแกรนิตทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2
เมตร หนา 6 นิ้ว ที่เรียกว่าพระจันทร์ลอยมาจากวัดเทพจันทร์ลอย
อำเภอนครหลวงที่อยู่ใกล้เคียงมาประดิษฐานไว้
เป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและบรรยากาศเงียบสงบ
ควรค่าแก่การศึกษาเรียนรู้ เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
ที่อยู่ : 184/1 หมู่ 1 นครหลวง, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/hU4U5
วัดพระศรีสรรเพชญ์
วัดพระศรีสรรเพชญ์แห่งนี้
เพราะมีวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างให้เป็นวัดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์
ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานโดยไม่มีพระสงฆ์จำวัด
ใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญมากมาย รวมถึงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาปีละ 2
ครั้ง เป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์อยุธยาเกือบทุกพระองค์
จึงกล่าวได้ว่าสำคัญเทียบเท่าวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งกรุงเทพมหานครหรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัยเลยทีเดียว
เดิมที่ตั้งของวัดเป็นพระราชมณเฑียรที่ประทับของพระมหากษัตริย์ซึ่งสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอู่ทอง
แต่ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ทรงย้ายพระราชวังขึ้นไปทางทิศเหนือต่อจากเขตวัดจรดแม่น้ำลพบุรี
และยกที่ดินเดิมผืนนี้เป็นเขตพุทธาวาส และสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 1991 ใจกลางวัดเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์ใหญ่ศิลปะลังกา 3 องค์ มีมณฑป 3
หลังคั่นกลางสร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
พระเจดีย์สององค์แรกทางทิศตะวันออกสร้างเมื่อ พ.ศ. 2035
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดา
และองค์ที่สองคือองค์กลางเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3
พระบรมเชษฐา ส่วนเจดีย์องค์ที่ 3 ทางทิศตะวันตก สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4
(สมเด็จพระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
วิหารปลายทิศตะวันออกของพระเจดีย์องค์ที่ 1
นี้เรียกว่าพระวิหารหลวงหรือพระวิหารหลวงหรือวิหารพระศรีสรรเพชญ์นี้
เคยมีพระพุทธรูปหุ้มทองคำหนัก 286 ชั่ง หรือ 171 กิโลกรัม เท่ากับ 12,880
บาท ประทับยืนสูงถึง 8 วาหรือ 16 เมตร พระนามว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ
ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญที่สุดในสมัยอยุธยา
ซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2043
แต่เมื่อครั้งเสียกรุง พ.ศ. 2310 พม่าได้เผาลอกทองไปหมดสิ้น
จนเหลือแต่แกนในพระซึ่งทำด้วยสำริด
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงอัญเชิญแกนในพระศรีสรรเพชญ์นี้ลงไปที่กรุงเทพมหานครและสร้างพระเจดีย์หุ้มแกนพระไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์
แล้วถวายพระนามว่า
เจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ดาญาณตามองค์พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ภายใน
ตัวพระวิหารหลวงที่อยุธยานั้นมีวิหารพระโลกนาถขนาบด้านทิศเหนือทิศใต้คือ
วิหารพระป่าเลไลยก์ ทิศเหนือคือพระวิหาร ส่วนพระอุโบสถอยู่ทางทิศใต้
เป็นการจัดวางพระเจดีย์ล้อมกรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสลับกับวิหารแกลบ
นับเป็นรูปแบบการจัดวางสิ่งก่อสร้างที่ชาญฉลาดและงดงามของช่างยุคโบราณ
รู้ก่อนเที่ยว ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท หรือซื้อบัตรรวม
ชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 220 บาท
เข้าชมวัดบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ภายในระยะเวลา
30 วัน เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 08.00-18.00 น. และเวลา 19.30-21.00 น.
จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน สอบถามรายละเอียดที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยา โทร. 0 3524 2284, 0 3524 2286
เช่าเครื่องโสตทัศนาจรเพื่อรับฟังข้อมูลการบรรยายวัดพระศรีสรรเพชญ์
วัดไชยวัฒนารามและวัดมหาธาตุ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ได้ที่จุดบริการใกล้ป้อมจำหน่ายบัตรของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ค่าบริการเครื่องละ 150 บาท สำหรับชม 3 วัดดังกล่าว
(ราคานี้ไม่รวมค่าบัตรเข้าชมโบราณสถาน) โทร. 0 3524 2501
แผนที่เดินทางวัดพระศรีสรรเพชญ์
http://www.tourismthailand.org/fileadmin/upload_img/Multimedia/Ebrochure/459/วัดพระศรีสรรเพชญ์.pdf
ที่อยู่ : พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/oi1Zzวัดสุทธาวาส วิปัสสนา
แม้ไม่เก่าแก่อายุหลายร้อยปีเทียบเท่าศาสนาสถานอื่นในจังหวัด
หากเดิมวัดตะพังโคลนแห่งนี้
ก้าวขึ้นมามีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างมากมาย
จนได้ชื่อว่าเป็นพุทธมณฑลแห่งอยุธยา ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2465
เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.
2492 โดยพระสมุห์สมรักษ์ อนาลโย หรือ หลวงพ่อรักษ์
เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาสจัดให้มีวิปัสสนาเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลทุกวันอาทิตย์เวลา16.09
น.
และสอนกรรมฐานแก่ผู้มีจิตศรัทธามุ่งมั่นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้วัดแห่งนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งที่13
ตามมติที่ประชุมมหาเถรสมาคม โดยจัดให้มีการปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน 4
เป็นประจำทุกเดือน มีผู้สนใจมาเข้าร่วมสายธรรมเป็นอันมาก
จนวัดเติบโตก้าวหน้า ขยายขอบเขตวัดจากเดิม 44 ไร่เป็น 97 ไร่
และริเริ่มโครงการพัฒนาวัดสุทธาวาสฯ ให้กลายเป็นพุทธมณฑลของ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สิ่งก่อสร้างที่มีผู้สนใจไปเยี่ยมชมมากมายไม่แพ้ไปปฏิบัติธรรมคือ
พระบรมมหาธาตุเจดีย์ขนาดกว้าง 80 เมตร ยาว 80 เมตร สูง130 เมตร
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 9
องค์ที่ได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายกเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2547
และอาคารสำหรับปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา โรงเรียนปริยัติสำหรับพระภิกษุสงฆ์ด้วย
เปิดให้เข้านมัสการได้ทุกวัน เวลา 08.00-16.30 น.
ทางวัดจัดให้มีการเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.09 น.
และสอนปฏิบัติกรรมฐานทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ทุกสิ้นเดือน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.watsuttawasvi.com โทร. 0 3537 9977, 0
3537 9944
ที่อยู่ : 1 หมู่ 4 บ้านตะพังโคลน ลาดบัวหลวง, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/cMZPyวัดพุทไธศวรรย์
วัดพุทไธศวรรย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศตะวันตก ที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตรงข้ามเกาะเมือง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา วัดพุทไธศวรรย์เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โต มีชื่อเสียง
และสำคัญที่สุดในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา ปรากฏตามตำนานว่า
พระองค์ทรงสร้างขึ้นในบริเวณที่ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับเมื่อทรงอพยพมาตั้งอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ที่ตรงนี้มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ตำบลเวียงเล็ก"
หรือในบางครั้งเพี้ยนไปเป็น "เวียงเหล็ก" เมื่อปี พ.ศ. 1896
ในบริเวณตำหนักเวียงเหล็ก
ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งแรกของพระองค์เมื่อครั้งอพยพผู้คนมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ในปี พ.ศ. 1893 ต่อมาได้เกิดโรคระบาด
พระองค์จึงทรงย้ายผู้คนมาสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นใกล้หนองโสน (บึงพระราม)
ในบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในปัจจุบัน
ส่วนเวียงเหล็กนั้นได้สถาปนาเป็นวัดพุทไธศวรรย์
อันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งแรกของการสร้างราชธานี
ครั้นเมื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว ถึง พ.ศ. 1896
จึงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเป็นพระราชอนุสรณ์ ณ
ตำบลซึ่งพระองค์เสด็จมาตั้งมั่นอยู่แต่เดิม และพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ
มาได้ยึดธรรมเนียมดังกล่าว โปรดให้สร้างถาวรวัตถุ
เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง อนึ่ง เมื่อเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. 2310
วัดพุทไธศวรรย์ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลายเหมือนวัดอื่น ๆ
จึงยังคงสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์
ปัจจุบันนี้จึงยังคงมีโบราณสถานให้ชมอีกมากมาย สิ่งที่น่าสนใจดังกล่าว
ได้แก่ ปรางค์พระประธาน ซึ่งตั้งอยู่กลางอาณาเขตพุทธาวาสบนฐานไพที
เป็นองค์ใหญ่ศิลปะแบบขอม มณฑปสองหลังซึ่งภายในมีพระประธาน
พระอุโบสถทางด้านทิศตะวันตกของปรางค์ หมู่พระเจดีย์สิบสององค์ วิหารพระนอน
ตลอดจนพระตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตำหนักนี้น่าสนใจเนื่องจากภายในผนังของตำหนักมีภาพสีเกี่ยวกับหมู่เทวดา
นักพรต นมัสการพระพุทธบาท ตำหนักท้าวจตุคามรามเทพ ตลอดจนเรือสำเภา
ครั้นพระพุทธโฆษาจารณ์เดินทางไปยังกรุงลังกา อนึ่ง พระตำหนักนี้
รวมถึงจิตรกรมฝาผนังเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ค่อนข้ามทรุดโทรม
ภาพวาดไม่ชัดเจนเท่าใด
ที่อยู่ : ถนนอู่ทอง พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/W7mwW
วัดช้างใหญ่
เดิมทีวัดช้างใหญ่มีชื่อเสียงว่าเกี่ยวข้องกับชาวมอญผู้เลี้ยงช้างศึกถวายพระมหากษัตริย์
ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาเอกราชของชาติ แต่เพิ่งจะมีการค้นพบใหม่
คือพระพุทธรูปอันเป็นศิลปะล้ำค่าหายาก อายุกว่า 600 ปี
ที่วัดแห่งนี้เพิ่มขึ้นมาไม่นานมานี้
ด้วยชาวมอญในย่านนี้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ไทยด้วยการฝึกช้าง
อันเป็นความชำนาญพิเศษมาช้านาน
กระทั่งหัวหน้าชาวมอญผู้หนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นจัตุลังคบาทควบคุมช้างศึก
และได้เลื่อนยศเป็นทหารเอกแม่ทัพหน้าชนะศึกหลายครั้ง
จนได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาราชมนู
มีตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงเจ้าพระยาอัครมหาเสนาธิบดีสมุหกลาโหม
โดยมีช้างที่สำคัญคือ เจ้าพระยาไชยยานุภาพ
ระวางสูงสุดที่เจ้าพระยาปราบหงสาวดี
เป็นช้างพระที่นั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเจ้าพระยาปราบไตรจักร
เป็นช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถ ดังนั้น
เพื่อเป็นอนุสรณ์แรงกายแรงใจของชาวมอญและความสามารถของพระยาช้าง
จึงได้สร้างวัดขึ้นและให้ชื่อว่า วัดช้างใหญ่ โดยจัดสร้างอนุสาวรีย์ช้างศึก
เจ้าพระยาปราบหงสาวดี ซึ่งเป็นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
และพระบรมรูปของพระองค์ให้ประชาชนได้สักการะ และยังได้ชมวิหารหลวงพ่อโต
สะท้อนสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งวาดตามขนบแบบอยุธยา
คือด้านหลังพระประธานวาดภาพพระพุทธเจ้าผจญมาร
ส่วนด้านที่มีหน้าต่างปรากฏภาพเทพชุมนุม
ส่วนสถานที่สักการะยอดนิยมแห่งใหม่คือพระอุโบสถเก่า ซึ่งเมื่อ พ.ศ. 2554
บรรดาพระและสามเณรกำลังทำความสะอาดองค์พระภายในพระอุโบสถหลังเก่า
เพื่อเตรียมจัดงานมหาสงกรานต์
เมื่อเช็ดทำความสะอาดพระพุทธรูปพระบริวารที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระประธาน
พบว่าพระพุทธรูปปางมารวิชัยเนื้อปูนปั้น หน้าตัก 20 และ 29 นิ้ว
ฝั่งซ้ายขวารวม 8 องค์ ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูงราว 50 เซนติเมตร
ทุกองค์ยิ้มมากน้อยต่างกันไป แต่ปากทาสีแดงสดทั้ง 8 องค์
สันนิษฐานว่าญาติโยมที่มาทำบุญปิดทองไหว้พระหลวงพ่อโตมาช้านาน
คงปิดทองทับปากพระบริวารทั้ง 8 องค์
จึงไม่มีผู้ใดเคยเห็นปากพระพุทธรูปสีแดงนี้มาก่อน
อันเป็นศิลปะของชาวมอญหรือพม่า ซึ่งจะนิยมทาปากสีแดงเป็นเอกลักษณ์
คาดว่าพระพุทธรูปทั้ง 8 องค์นี้ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อ 600
กว่าปีมาแล้ว
เปิดให้เข้าชม : เวลา 08.00-16.30 น. สอบถามข้อมูล :
โทรศัพท์ 09 4664 1489, 08 3747 5811
ที่อยู่ : ตำบลวัดตูม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/wTiF6
แสดงความคิดเห็น