วัดวรเชษฐาราม
ชื่ออารามหลวงเก่าแก่อายุหลายร้อยปีแห่งนี้แปลได้ว่า
พี่ชายผู้เป็นที่รัก
จึงสันนิษฐานตามหลักฐานได้ว่าเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2136 ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ผู้ทรงเป็นพระเชษฐา
และได้สร้างพระเจดีย์ประธานเพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์ไว้ด้วย
สิ่งที่สร้างความสับสนเนื่องจากที่อยุธยามีวัดวรเชษฐ์ 2 แห่งคือ
วัดภายในเกาะเมือง
ระหว่างวัดโลกยสุธารามและวัดวรโพธิ์ซึ่งเคยเป็นเขตพระราชวังหลัง
ที่เรียกว่า สวนกระต่าย และวัดวรเชษฐ์นอกเกาะเมืองหรือวัดประเชด
แต่วัดวรเชษฐ์ที่กล่าวถึงนี้อยู่ในเกาะเมือง
ซึ่งเคยมีผู้ลักลอบเข้าไปขุดหาโบราณวัตถุ
พบกรุเจดีย์ประธานมีผอบบรรจุอัฐิซึ่งมีพระพุทธรูปนาคปรกล้อมซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวันเสาร์
อันเป็นพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรเป็นหลักฐานหนึ่งที่บ่งชี้ว่าวัดนี้คือวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้น
หรือนักวิชาการบางคนชี้ว่าที่ตั้งของวัดอาจเป็นที่ตั้งพระตำหนักเดิมของสมเด็จพระเอกาทศรถซึ่งได้ทรงสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเชษฐา
แม้ไม่อาจชี้ชัดได้มากกว่านี้
แต่สิ่งก่อสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เพียงพอจะดึงดูดให้ผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ได้เข้าไป
ชมวัดวรเชษฐารามนั่นคือพระเจดีย์ประธานก่ออิฐถือปูนทรงระฆังคว่ำศิลปะแบบสุโขทัยที่มีขนาดใหญ่โตมาก
หน้าบันประดับลวดลายจากเครื่องถ้วยเช่นเดียวกับศิลปะที่ซุ้มประตูวัดมหาธาตุ
ปรากฎลวดลายชั้นมาลัยเถา
บัลลังก์และเสาหานรอบก้านฉัตรที่ยังสมบูรณ์และพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย
พระประธานในพระวิหารก่ออิฐถือปูนที่ยังมีผู้ศรัทธานำมาลัยดอกไม้มากราบไหว้ทุกวัน
และสภาพโดยรอบ สังเกตได้ว่าที่นี่เป็นวัดเดียวในอยุธยาที่มีคูน้ำล้อมรอบ
ตามรูปแบบวัดในเมืองสุโขทัย
ที่อยู่ : อยู่ภายในชุมชนตลอดยอด ถนนคลองท่อ ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/cfPKG
วัดใหญ่ชัยมงคล
วัดใหญ่ชัยมงคล
เดิมชื่อวัดป่าแก้วหรือวัดเจ้าพระยาไท
ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก
ตามข้อมูลประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
หรือพระเจ้าอู่ทอง
ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสำนักของพระสงฆ์ซึ่งไปบวชเรียนมาแต่สำนักพระวันรัตน์มหาเถรในประเทศลังกา
คณะสงฆ์ที่ไปศึกษาพระธรรมวินัยเรียกนามนิกายในภาษาไทยว่า "คณะป่าแก้ว"
วัดนี้จึงได้ชื่อว่า "วัดป่าแก้ว" ต่อมาคนเลื่อมใสบวชเรียนพระสงฆ์นิกายนี้
จึงมีการตั้งอธิบดีสงฆ์นิกายนี้เป็นสมเด็จพระวันรัตน์มีตำแหน่งเป็นสังฆราชฝ่ายขวาคู่กับพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระ
มีตำแหน่งเป็นสังฆราชฝ่ายซ้าย หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น
"วัดเจ้าพระยาไท" สันนิษฐานว่ามาจากที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้น
ณ
บริเวณที่ซึ่งได้ถวายพระเพลิงพระศพของเจ้าแก้วเจ้าไทหรืออาจมาจากการที่วัดนี้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชฝ่ายขวา
ซึ่งในสมัยโบราณเรียกพระสงฆ์ว่า "เจ้าไท"
ฉะนั้นเจ้าพระยาไทจึงหมายถึงตำแหน่งพระสังฆราช
วัดใหญ่ชัยมงคลยังมีความผูกพันกับประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย
กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2135
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำศึกยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชแห่งพม่าที่ตำบลหนองสาหร่าย
เมืองสุพรรณบุรี ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นที่วัดนี้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ
การสร้างพระเจดีย์อาจสร้างเสริมพระเจดีย์เดิมที่มีอยู่หรืออาจสร้างใหม่ทั้งองค์ก็ได้
ไม่มีหลักฐานแน่นอน ขนานนามว่า "พระเจดีย์ชัยมงคล" แต่ราษฎรเรียกว่า
"พระเจดีย์ใหญ่" ฉะนั้นนานวันเข้าวัดนี้จึงเรียกชื่อเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล"
ทว่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถูกกองทัพพม่าเผาทำลาย
วัดใหญ่ชัยมงคลจึงถูกทิ้งร้างไปในที่สุด
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์จึงมีการบูรณปฏิสังขรณ์และมีภิกษุสงฆ์จำพรรษาดังเช่นในปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ เจดีย์ชัยมงคล
อนุสรณ์แห่งชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเหนือมังกะยอชวา
พระมหาอุปราชของหงสาวดี และวิหารพระพุทธไสยาสน์
สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เพื่อเป็นที่ถวายสักการะบูชาและปฏิบัติพระกรรมฐาน
ปัจจุบันมีการสร้างพระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
มีผู้นิยมไปนมัสการอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก
วัดใหญ่ชัยมงคล เปิดเวลา
08.00-17.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ 20 บาท
นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 3524 2640
หรือทางเว็บไซต์ www.watyaichaimongkol.netเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล
(รองรับผู้ใช้รถเข็น) : Tourism For
Allhttp://tourismproduct.tourismthailand.org/tourismforall
แผนที่เดินทางไปวัดใหญ่ชัยมงคล :
http://www.tourismthailand.org/fileadmin/upload_img/Multimedia/Ebrochure/475/วัดใหญ่ชัยมงคล.pdf
ที่อยู่ : 40/3 หมู่ 3 พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/0eKv3
วัดสะตือ
วัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกายตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก
ตามหลักฐานเดิมวัดมีพื้นที่ประมาณ37
ไร่แต่แม่น้ำกัดเซาะจนเว้าแหว่งเหลือเพียง 15 ไร่เศษ
ซึ่งบนพื้นที่ทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วยอาคารเสนาสนะต่าง ๆ อาทิ
พระอุโบสถโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างใน พ.ศ. 2498
และดำเนินการบูรณะซ่อมแซมโดยพลตรีมนูญกฤษ รูปขจร
ผู้มีพื้นเพเดิมอยู่ในท้องที่หลังองค์พระพุทธไสยาสน์นี้เอง
นอกจากนั้นมีศาลาดินหรือวิหารสมเด็จ
ซึ่งแต่เดิมเป็นอาคารไม้โปร่งมุงสังกะสีใช้สลักเดือยแทนการตอกตะปูสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายมีรูปทรงเป็นเรือสำเภา
ซึ่งสมเด็จพุฒาจารย์โตได้พักอาศัยเมื่อคราวมาคุมการก่อสร้างองค์พระพุทธไสยาสน์
ต่อมาได้สร้างวิหารคู่เชื่อมต่อกันเป็นศาลาน้ำหรือศาลาริมแม่น้ำป่าสัก
และยังมีฌาปนสถาน ซึ่งใช้เป็นเตาน้ำมันแห่งแรกในอำเภอท่าเรือเมื่อ พ.ศ.
2545 เพื่อรักษาสภาพแวดล้อม
แต่จุดเด่นที่ทำให้ผู้คนเดินทางมาที่วัดแห่งนี้เนืองแน่นทุกวันคือ
พระพุทธไสยาสน์หรือหลวงพ่อโต ซึ่งสมเด็จพระพุทธาจารย์ (โตพรหมรังสี)
ได้ทรงสร้างไว้เป็นอนุสรณ์เมื่อ พ.ศ. 2413
ประดิษฐานอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน มีขนาดยาว 52
เมตร กว้าง 9 เมตรและสูง 16 เมตร
นับเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของเมืองไทย
นอกจากนั้นภายในพระอุโบสถมีพระประธาน ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 64 นิ้ว
สูง 126 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. 2497
และพระปรางค์นาคปรกสมัยทวาราวดีเนื้อหินทรายซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุไว้
รวมทั้งรอยพระพุทธบาทจำลองอายุนับร้อยปีซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
รัชกาลที่ 5 เสด็จมานมัสการพระพุทธบาทที่วัดนี้ถึง 2 ครั้ง
จนเป็นที่มาของชื่อตำบลท่าหลวง
ส่วนที่เรียกว่าวัดสะตือเพราะมีต้นสะตือใหญ่งอกงามขึ้นภายในบริเวณวัด
สามารถเดินทางไปวัดสะตือได้ตามแผนที่นี้
http://www.tourismthailand.org/fileadmin/upload_img/Multimedia/Ebrochure/472/วัดสะตือ.pdf
ที่อยู่ : 140 หมู่ 6 ท่าเรือ, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/u4xk6ที่อยู่ :
เครดิต :
วัดไชยวัฒนาราม
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททอง
กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 24 ( พ.ศ. 2173-2198) โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2173 ได้ชื่อว่าเป็นโบราณสถานที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่ง
ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
วัดนี้เป็นที่ฝังพระศพของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์(เจ้าฟ้ากุ้ง)
กวีเอกสมัยอยุธยาตอนปลายกับเจ้าฟ้าสังวาลย์ซึ่งต้องพระราชอาญาโบยจนสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
สิ่งที่น่าชมภายในวัดได้แก่ พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ
เป็นปรางค์ประธานของวัดตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสและที่มุมฐานมีปรางค์ทิศประจำอยู่ทั้งสี่มุม
การที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองซึ่งเป็นกษัตริย์สมัยอยุธยาตอนปลายทรงสร้างปรางค์ขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด
เท่ากับเป็นการรื้อฟื้นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นที่นิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัด
เช่น การสร้างปรางค์ที่วัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ
เนื่องจากพระองค์ทรงได้เขมรมาอยู่ใต้อำนาจจึงมีการนำรูปแบบสถาปัตยกรรมเขมรเข้ามาใช้ในการก่อสร้างปรางค์อีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีพระระเบียงรอบปรางค์ประธาน
ภายในพระระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย
ผนังระเบียงก่อด้วยอิฐถือปูน มีลูกกรงหลอกเป็นรูปลายกุดั่น พระอุโบสถ
อยู่ด้านหน้าของวัดภายในมีซากพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสร้างด้วยหินทราย
ใบเสมาของพระอุโบสถทำด้วยหินสีค่อนข้างเขียว
จำหลักเป็นลายประจำยามและลายก้านขด และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง
ทางด้านหน้าพระอุโบสถมีเจดีย์ 2 องค์ ฐานกว้าง 12 เมตร สูง 12 เมตร
ซึ่งถือเป็นศิลปะที่เริ่มมีแพร่หลายตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
วัดไชยวัฒนารามได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
และกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะตลอดมาจนปัจจุบันไม่มีสภาพรกร้างอยู่ในป่าอีกแล้ว
และยังคงมองเห็นเค้าแห่งความสวยงามยิ่งใหญ่ตระการตา
ซึ่งผู้ไปเยือนไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง เปิดทุกวันเวลา 08.00-18.00 น.
ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท หรือสามารถซื้อบัตรรวมได้
ชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 220 บาท
โดยบัตรนี้สามารถเข้าชมวัดและโบราณสถานบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ได้
ภายในระยะเวลา 30 วัน ได้แก่ วัดพระศรีสรรเพชญ์และพระราชวังหลวง วัดมหาธาตุ
วัดราชบูรณะ วัดพระราม วัดไชยวัฒนาราม
หมายเหตุ ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30- 21.00 น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีบริการเครื่องโสตทัศนาจร
สามารถฟังข้อมูลการบรรยายวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดไชยวัฒนาราม และวัดมหาธาตุ
เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
สามารถเช่าได้ที่จุดบริการใกล้ป้อมจำหน่ายบัตรของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
โดยคิดค่าบริการเครื่องละ 150 บาท สำหรับชม 3 วัดดังกล่าว
(ราคาไม่รวมค่าบัตรเข้าชมโบราณสถาน)
ที่อยู่ : หมู่ 9 พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/m04CDวัดพนัญเชิงวรวิหาร
วัดอันเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจีน
แทรกโศกนาฏกรรมตำนานรักซ้อนอยู่ในชื่อ
ตามพงศาวดารเหนือบันทึกไว้ว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
กษัตริย์ผู้ครองอโยธยาก่อนราชวงศ์อู่ทองทรงสร้างขึ้น ณ
บริเวณที่พระราชทานเพลิงพระศพพระนางสร้อยดอกหมาก
พระราชธิดาบุญธรรมในพระเจ้ากรุงจีน
ซึ่งยกให้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
แต่เมื่อกลับจากรับตัวพระนางมาจากเมืองจีน
พระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งให้พระนางรออยู่ที่เรือพระที่นั่งก่อน
จะทรงจัดขบวนมารับเข้าวัง
แต่พระองค์มิได้เสด็จมารับว่าที่พระอัครมเหสีด้วยองค์เอง
พระนางสร้อยหมากจึงไม่ยอมขึ้นจากเรือ เป็นเช่นนี้อยู่ 2 ครั้ง
พระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งสัพยอกทั้ง 2 ครั้งว่า
"เมื่อไม่ขึ้นก็จงอยู่ที่นี่เถิด" ด้วยความน้อยพระทัย
พระนางสร้อยหมากทรงกลั้นพระทัยถึงแก่สวรรคตทันที เป็นที่มาของชื่อวัดว่า
วัดพระนางเชิง ยังคงพบเห็นตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมากริมแม่น้ำป่าสัก
สถานที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก หรือชาวจีนเรียกว่า จู๊แซเนี้ย
ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาที่พระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร
สังกัดมหานิกายนี้ หวังใจว่าจะนมัสการหลวงพ่อโต
พระคู่บ้านคู่เมืองอยุธยามาช้านาน
ซึ่งตามพงศาวดารกล่าวว่าสร้างขึ้นก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี
หรือตรงกับ พ.ศ. 1867 เดิมนามว่า พระเจ้าพแนงเชิง
หรือเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวจีนว่า
เจ้าพ่อซำปอกงหรือผู้คุ้มครองการเดินทางในทะเล
ซึ่งได้รับพระราชทานนามใหม่จากรัชกาลที่ 4 ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก
เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ศิลปะอู่ทองตอนปลาย
ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตักกว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร
นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ประดิษฐานในพระวิหารใหญ่ซึ่งสร้างคลุมในภายหลัง
เสาเขียนสีลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งสีแดง
หัวเสาประดับปูนปั้นรูปบัวกลุ่มกลีบซ้อนกันหลายชั้น
บานประตูไม้แกะสลักลอยตัวเป็นลายก้านขดยกดอกนูนออกมา ผนัง 4
ด้านเจาะช่องบรรจุพระพุทธรูป 84,000 องค์เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์
เรียกว่าพระงั่ง งดงามชวนตะลึงยิ่งนัก
ตามคำให้การชาวกรุงเก่ายังบันทึกไว้ด้วยว่า เมื่อคราวจะเสียกรุงใน พ.ศ.
2310 หลวงพ่อโตมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย เป็นที่อัศจรรย์นัก
ส่วนพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปทอง ปูนและนาค
ซึ่งเดิมทีเป็นเพียงพระพุทธรูปปูนปั้นทั้ง 3 องค์
แต่เพิ่งค้นพบภายหลังว่าเป็นทองและนาคเมื่อปูนกระเทาะออก
จึงสันนิษฐานว่าก่อนจะเสียกรุง
ชาวบ้านนำปูนมาพอกองค์พระไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พม่าเผาลอกเอาทองพระไป
ส่วนวิหารเซียน อาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าพระวิหารหลวง
เดิมมีภาพจิตรกรรมฝาผนังงดงามทั้ง 4 ด้าน
แต่ถูกโบกปูนทับเมื่อคราวปฏิสังขรณ์ และมีศาลาการเปรียญ เป็นศาลาไม้ทรงไทย
หน้าบันประดับช่อฟ้าใบระกา หางหงส์
มีภาพพุทธประวัติบนผ้าติดไว้ที่ขื่อพร้อมลง พ.ศ. 2472 กำกับไว้
ภายในมีธรรมาสน์สลักลวดลายแบบรัตนโกสินทร์สวยงามมาก
เข้านมัสการได้ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. คนไทยเข้าชมฟรี
สำหรับชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท
วัดนี้ยังจัดงานประจำปียิ่งใหญ่ถึง 4 ครั้ง ได้แก่ งานมหาสงกรานต์
งานสรงน้ำและห่มผ้าถวายวันแรม 8 ค่ำ เดือนเมษายน
งานทิ้งกระจาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
มีงิ้วและมหรสพมาแสดงจนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่างานงิ้วเดือน 9
และสุดท้ายคืองานตรุษจีน เปิดวิหารหลวงให้นมัสการหลวงพ่อโตถึง 5 วัน
แผนที่การเดินทางไปวัดพนัญเชิงวรวิหาร
http://www.tourismthailand.org/fileadmin/upload_img/Multimedia/Ebrochure/456/วัดพนัญเชิงและศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก.pdf
ที่อยู่ : 2 หมู่ 12 ถนนบางปะอิน-เกาะเรียน พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/XIxQv
แสดงความคิดเห็น